กิจกรรมรายวิชา

กิจกรรมศึกษาดูงานภายใน พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ที่ SCB PARK

วัตถุประสงค์
 
       ตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีเอกสารสำคัญ และเครื่องมือเครื่องใช้จำนวนมาก อันบ่งบอกถึง วิวัฒนาการแห่งความเจริญก้าวหน้า ในระบบการเงินการธนาคารของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็น ภาพในอดีตได้อย่างชัดเจน
และด้วยตระหนักถึง คุณค่าของความรู้ อันสืบเนื่องมาจาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ของระบบการเงินการธนาคาร ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่า ธนาคารจึงได้จัดสร้าง “พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดแสดง สิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ ด้านการเงินการธนาคารของชาติ สำหรับเป็นแหล่งค้นคว้าด้านวิชาการ อันเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ซึ่งสามารถใช้เป็นที่ค้นคว้าเพิ่มต่อไปได้
ธนาคารได้ทำพิธีเปิด พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยแห่งนี้ เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2539 ณ บริเวณชั้น 2 อาคารพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และในโอกาสครบรอบ 100 ปี ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ดำเนินการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2550



      ก่อน ที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่นๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย  ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง  และเหรียญกษาปณ์ เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

 จน กระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติและเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตรา หลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้องการ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพุทธศักราช ๒๓๙๖ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้น 
ใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า หมาย

      หมาย เป็นกระดาษสีขาวพิมพ์ตัวอักษรและลวดลายด้วยหมึกสีดำ ประทับตราพระราชสัญลักษณ์ประจำพระราชวงศ์จักรีรูปพระแสงจักร และพระราชลัญจกรประจำพระองค์รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ด้วยสีแดงชาด เพื่อป้องกันการปลอมแปลง หมายที่โปรดให้จัดทำมี ๓ ประเภท ได้แก่ หมายราคาต่ำ  หมายราคากลาง (ตำลึง) และหมายราคาสูง  อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่หมายเป็นเงินตราชนิดใหม่ ในขณะที่ราษฎรยังคงคุ้นเคยกับเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราโลหะมาแต่โบราณ จึงไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายตามพระราชประสงค์

ต่อ มาระหว่างพุทธศักราช ๒๔๑๕ - ๒๔๑๖ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดง ขาดแคลนประกอบกับมีการนำปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพุทธศักราช ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นเดียวกับหมาย


เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่ง ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๒, ๒๔๔๑, และ ๒๔๔๒ ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทัน ต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ

       บัตรธนาคารมีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้ เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็น ต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๒ - ๒๔๔๕) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้นสร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้

   ขณะ เดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคารพาณิชย์ ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพุทธศักราช ๒๔๓๓ จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี จำนวน ๘ ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๕ แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงมิได้นำเงินกระดาษหลวงออกใช้

จน กระทั่งพุทธศักราช ๒๔๔๕  จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระ บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๕ อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๕  จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่ นั้นมา

      ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทรศก ๑๒๑ นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำ ธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๔๗๑  ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่าง สมบูรณ์


        คำว่า “ธนาคาร” หรือ Bank ในภาษาอังกฤษ มาจากคำว่า “Banco” ในภาษาอิตาเลี่ยน ที่แปลว่า “ม้ายาว” เนื่องจากพวกยิว และพวกนายธนาคารในยุคแรก ใช้ม้ายาวเป็นที่กองเงินตรา เพื่อทำธุรกิจ แลกเปลี่ยนเงินตรา และให้กู้ยืม ส่วนสถานที่ใช้ประกอบธุรกิจ มักเป็นสถานที่ชุมนุมชน เช่น ตลาดหรือโรงสวด
นอกจากนี้ คำว่า Bank ก็อาจมาจากคำว่า Banck ในภาษาเยอรมัน ซึ่งหมายถึง “กอง” ซึ่งชาวเยอรมัน ใช้บอกลักษณะของหนี้สาธารณะ แต่ไม่ว่าคำว่า Bank จะมาจากภาษาใดก็ตาม ธนาคารก็เป็นสถาบันการเงิน ที่เป็นตัวกลางที่สำคัญ ต่อเศรษฐกิจทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
บทบาทของธนาคาร ในยุคสมัยต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวก ในทางการเงิน ทั้งการรับฝาก การให้กู้ยืม การแลกเปลี่ยนเงิน ให้แก่ลูกค้า ทำให้ภาวะการค้า และเศรษฐกิจของประเทศก้าวหน้าไป โดยไม่ติดขัด ก็จะยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่เปลี่ยนแปลง และทั้งจะทวีความสำคัญมากขึ้น ตามระยะเวลาที่ผ่านไป

 ในสังคมสมัยโบราณ ประมาณ 3900 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีการดำเนินกิจการธนาคาร ในประเทศอียิปต์โบราณ โดยประชาชน นำวัวมาฝาก และได้รับหลักฐานการฝากไว้ โดยที่วัวเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หลักฐานการฝาก จึงเป็นสิ่งมีค่า และกลายเป็นสื่อกลาง ในการแลกเปลี่ยนไปด้วย กิจกรรมเกี่ยวกับการเก็บรักษาทรัพย์สิน และการให้กู้ยืมเช่นนี้ มีการประกอบธุรกิจด้วยเช่นกัน ในแคว้นบาบิโลน (Babylone) ในอารามแดงแห่งอุรุก (Uruk) ซึ่งมีอายุประมาณ 3400 ปี ถึง 3200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยที่อาราม มีที่ดินกว้างขวาง นักบวชจึงให้เช่าที่ดินนั้น เพื่อทำการเกษตร
       นอกจากนี้ อารามยังมีสินทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำมาถวายอุทิศแก่เทพเจ้า นักบวชจึงนำออกหาผลประโยชน์อีกด้วย ต่อมาจึงมีการให้กู้ยืม เมล็ดพืชธัญญาหาร ให้ยืมปศุสัตว์ โดยมีการคิดค่าตอบแทน เมื่อกิจการธนาคารเจริญขึ้นมาก พ่อค้าสามารถฝากสินทรัพย์ ไว้กับอาราม และรับแผ่นดินเผา จารึกรายการที่ฝากไว้ เป็นหลักฐาน เพื่อนำไปขอเบิกจ่าย สินทรัพย์ที่ฝากไว้นี้ กับสาขาของอารามได้ หลังจากนั้นแล้ว ก็มีพวกฆราวาส มีที่ดินและฐานะดี ดำเนินธุรกิจธนาคารเช่นกัน
กิจการธนาคารของแคว้นบาบิโลน เลิกไป เนื่องจากสงครามและอาณาจักรแตกแยกกัน ต่อมาประมาณ 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีธนาคารเกิดขึ้นในกรุงเอเธนส์ และโรม ซึ่งเป็นเมือง ที่มีความเจริญและร่ำรวยมากในขณะนั้น กิจการธนาคารยังคงเริ่มจากอารามเช่นกัน โดยมีนักบวชชายหญิง เป็นผู้ดำเนินการ
      การรับฝากเงินและของมีค่าส่วนใหญ่ กู้เพื่อความปลอดภัย จากความไม่สงบในเมือง หรือจากภัยสงคราม มีการรับแลกเงิน การให้กู้ การออกตั๋วเงินตามจำนวนเงินที่ฝากไว้ ตั๋วเงินพวกนี้ สามารถนำไปชำระหนี้ หรือจ่ายเงินในเมืองอื่นได้ การที่มีกฎหมายบางอย่างควบคุม จึงทำให้ธุรกิจธนาคาร ดำเนินไปด้วยดี จึงมีผู้ประกอบธุรกิจธนาคารเพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นเอกชน และของผู้ปกครองรัฐ จนมีธนาคารตั้งอยู่เกือบทุกมณฑล จนเมื่ออาณาจักรโรมสลายตัวลง ภาวการณ์ค้าเสื่อมลง กิจการธนาคารจึงเสื่อมลงตามไปด้วย

ในสมัยกลาง อันเป็นระยะเวลา ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 จนถึง 14 นั้น เมื่ออำนาจการปกครอง ของอาณาจักรโรมันล่มสลาย ทวีปยุโรปจึงแตกแยก เป็นแคว้นต่างๆ อย่างมากมาย และเกิดการรบพุ่งขึ้น บรรดาผู้มีอำนาจและที่ดิน ต่างก็สร้างป้อมปราสาท และสะสมกำลังทหาร รวมทั้งอัศวินขึ้นทั่วไป สภาพที่กล่าวนี้ ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้า และการธนาคาร จนกระทั่งเกิดสงครามครูเสดขึ้น การส่งอัศวินและทหารไปรบ ทำให้บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้น ต้องการเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการสะสมกำลังอาวุธ และเพื่อใช้ในสงคราม การให้กู้ยืมจึงเกิดขึ้น
       นอกจากนี้ บรรดาทหาร ที่ไปรบและถูกจับ ก็ต้องส่งเงินไปเป็นค่าไถ่ตัวก็ดี การส่งทรัพย์สิน ที่ยึดได้ในสงคราม กลับประเทศก็ดี ทำให้เกิดมี การใช้บริการของธนาคารมากขึ้น กิจการธนาคารจึงฟื้นตัว หลังจากยุคนี้ แล้วก็มีการส่งเงิน และของมีค่า ไปยังคริสตจักรแห่งโรมมากขึ้น ทำให้ธุรกิจการธนาคารของเอกชน ในอิตาลีเจริญขึ้น
        ธนาคารที่มีชื่อเสียงได้แก่ ธนาคารแห่งเวนิส (Bank of Venice) ซึ่งตั้งขึ้นประมาณ ค.ศ. 1157 รับจัดการหนี้ให้รัฐบาลที่กู้จากประชาชน ธนาคารแห่งนี้ จึงไม่มีการใช้เช็ค หรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ใช้รายการที่บันทึกในบัญชีโอนเงิน จนใน ค.ศ. 1587 จึงได้รับฝากเงิน
        นอกจากนี้ ก็มีธนาคารแห่งบาเซโลน่า ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1400 ธนาคารแห่งเจนัว ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1407 ธนาคารแห่งอัมสเตอร์ดัมตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1609 ธนาคารแหล่านี้ มีส่วนช่วยเหลือพ่อค้า ในกิจการค้าทำให้เมืองต่าง ๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้า ในสมัยนั้น ธนาคารพวกนี้ รับฝากเงินเหรียญ ทำการโอนเงินระหว่างบัญชีของธนาคาร หรือที่เจ้าของบัญชี ออกคำสั่งจ่ายเงิน จากบัญชีที่กล่าวได้ เป็นต้น

สยามกับการเข้าสู่ระบบธนาคาร
       รัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นเวลาที่ชาวต่างประเทศ จากทวีปยุโรป และอเมริกา กำลังขยายเส้นทางการค้าขาย มาทางตะวันออกอย่างรวดเร็ว และนับตั้งแต่ประเทศไทย ทำสนธิสัญญาทางการค้ากับประเทศอังกฤษ ที่เรียกว่า “สัญญาเบาว์ริ่ง” ใน พ.ศ. 2398 แล้ว ก็มีการทำสัญญาการค้าเช่นเดียวกันนี้ กับประเทศฝรั่งเศส โปรตุเกส เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ และปรัสเซีย เป็นต้น
        หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเรือสินค้าจากต่างประเทศ เข้ามาซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น จากเดิมปีละไม่กี่ลำ เป็นปีละ 300 ถึง 400 ลำ บรรดาพ่อค้าชาวยุโรป ต่างนำเหรียญเงินของประเทศตน มาชำระค่าสินค้า แต่ประชาชนไม่ยอมรับ จึงต้องนำเหรียญเงิน ไปแลกเงินพดด้วง ที่พระคลังมหาสมบัติ แต่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือ จึงทำได้ช้า ไม่ทันต่อความต้องการ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเหรียญเงิน จากประเทศอังกฤษ เข้ามาผลิตเหรียญเงินกลมแบน ชนิดราคาต่างๆ ขึ้นใช้รวมทั้งเงินปลีก ที่มีมูลค่าต่ำ การใช้เบี้ยหอย เป็นเงินตราในระบบเศรษฐกิจ จึงลดลงและหายไปในที่สุด
         นอกจากระบบการเงิน ที่เริ่มมีระเบียบตามแบบสากลแล้ว พระองค์ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนน ขุดคลอง ปรับปรุงประเพณีโบราณต่างๆ ให้ทันสมัยขึ้น ครั้นมาในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงทะนุบำรุงบ้านเมือง ให้เข้าสู่ความเจริญในทุกด้าน นับตั้งแต่การบริหารแผ่นดิน การสาธารณสุข การศึกษา การคมนาคม การศาลและกฎหมาย การเลิกทาส การปรับปรุงระบบภาษีอากร การแยกพระราชทรัพย์ส่วน พระมหากษัตริย์ ออกจากทางการโดยเด็ดขาด การเปลี่ยนระบบเกณฑ์แรงงาน เป็นการเกณฑ์ทหาร เป็นต้น 
          จึงเป็นผลให้ เศรษฐกิจและการค้าของประเทศ เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ความต้องการเงินตราของประเทศ และสถาบันการเงิน ที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ ธุรกิจการค้าทั้งใน และต่างประเทศ ในด้านการให้กู้ยืม การโอนเงิน การจ่ายเงินตามคำสั่งจ่าย และตั๋วเงิน ก็เกิดมีขึ้น

เมื่อความต้องการสถาบันการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกมีสูงขึ้น จึงมีชาวต่างประเทศ มายื่นแสดงความประสงค์ จะตั้งสถาบันการเงินขึ้น โดยใน พ.ศ. 2431 ชาวอังกฤษได้ขอตั้งธนาคารของรัฐขึ้น ให้ชื่อว่า “แบงก์หลวงแห่งกรุงสยาม” (Royal Bank of Siam) ธนาคารที่กล่าว มีอำนาจในการดำเนินงาน ด้านการเงินแทนรัฐบาล เช่น จัดเก็บภาษี พิมพ์ธนบัตร ให้กู้ยืมแก่องค์การต่าง ๆ และรัฐบาล
      ต่อมาใน พ.ศ. 2440 นายพลดุ๊ก เดอ มารียอง ได้ยื่นข้อเสนอตั้ง “แบงก์หลวงแห่งรัฐสยาม” (Royal State Bank of Siam) และใน พ.ศ. 2441 ผู้บริหารธนาคาร ในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก็ยื่นข้อเสนอขอตั้ง “แบงก์แห่งกรุงสยาม” ขึ้นเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาต ให้ตั้งขึ้นดำเนินการทั้งหมด
 ในด้านที่เป็นธนาคารเอกชน หรือธนาคารพาณิชย์นั้น ก็มีการยื่นขอเปิดดำเนินการเช่นกัน และโดยที่เป็น การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมิได้เกี่ยวกับ ระบบการเงินของรัฐบาล แต่เป็นการขอตั้งขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก ในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การจ่ายเงิน ตามคำสั่งจ่ายเช็ค และตั๋วเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เป็นการค้าระหว่างประเทศ การรับฝาก และให้กู้ยืมเงิน เป็นต้น
     ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ จึงได้รับอนุญาตให้ เปิดสาขาขึ้น ดำเนินงานในกรุงเทพฯ ได้ใน พ.ศ. 2431 พ.ศ. 2437 และ พ.ศ. 2440 ตามลำดับ

พระบิดาแห่งธนาคารไทย

 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พระบิดาแห่งการธนาคารไทย ผู้ทรงมีพระดำริ ริเริ่มตัดสินพระทัย ตั้งธนาคารพาณิชย์ ของชาวไทยขึ้น เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ใน พ.ศ. 2449

     กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าไชยันตมงคล โอรสในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาห่วง เมื่อวันจันทร์ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ. 2408
     เมื่อทรงเจริญพรรษา ได้เข้ารับราชการ สนองพระเดชพระคุณ เป็นราชองครักษ์ แล้วย้ายมารับราชการ ในกรมราชเลขานุการ ด้วยพระอุตสาหะวิริยะ จึงทรงดำรงตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยมา จนเป็นรองเสนาบดี และเสนาบดีกระทรวงวัง ตามลำดับ
      ด้วยพระปรีชาสามารถ ในกิจการทั้งปวง ใน พ.ศ. 2438 เมื่อทรงมีพระชนม์เพียง 30 พรรษา จึงได้เฉลิมพระยศเป็น พระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึก ในพระสุพรรณบัฎว่า “พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย มุกสิกนาม ทรงศักดินา 150,000” ในด้านการทหารนั้น ทรงดำรงพระยศเป็น นายพันเอกราชองครักษ์ หลังจากได้รับการสถาปนา และทรงกรมแล้ว ก็ย้ายมาดำรงตำแหน่ง เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. 2440 ด้วยพระองค์หนึ่ง

ระหว่างทรงงานที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัตินี้ ทรงปรับปรุงระบบหน่วย และมาตราเงินไทย จากเดิมซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ให้เหลือเพียง 2 หน่วย เป็น “บาท” และ “สตางค์” ทำให้การจัดทำ บัญชีงบดุล สามารถลงบันทึก หน่วยของเงินตราได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจัดพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้
งานสำคัญอีกอย่างหนึ่งได้แก่ ความพยายามที่จะให้มี ธนาคารกลางของประเทศขึ้น เพื่อดูแลระบบการเงินของประเทศ แต่โดยที่ประเทศไทยยังขาดความพร้อมอยู่มาก จึงทรงหันไปตั้ง ธนาคารพาณิชย์ขึ้น ทดลองดำเนินงาน โดยเรียกว่า “บุคคลัภย์” ใน พ.ศ. 2447
     เมื่อกิจการธนาคารพาณิชย์ ที่ชื่อว่าบุคคลัภย์ ดำเนินการได้ผลดี จึงทรงขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาต ตั้งเป็น “บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล” เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ร.ศ. 125 และได้รับพระบรมราชานุญาต ให้รับจดทะเบียนเป็นธนาคาร ได้เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449
หลังจากนั้นเป็นต้นมา แบงก์สยามกัมมาจล ก็เติบโตเรื่อยมา โดยมีการเปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์ และดำเนินธุรกิจมาจนปัจจุบัน
      นับว่ากิจการธนาคารของประเทศไทย ที่ได้เจริญงอกงาม แตกกิ่งก้าน มีสาขาไปทั่วประเทศไทยทุกวันนี้ เกิดขึ้นและเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยพระดำริริเริ่ม และความกล้าที่จะลงมือทำ ในสิ่งที่ได้ตริตรอง และวางแผนไว้ดีแล้ว ของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัยโดยแท้ ที่ตัดสินพระทัย หว่านเมล็ดพืชแห่งกิจการธนาคารพาณิชย์ ลงบนพื้นดินอันอุดม ที่มีชื่อว่าประเทศไทย จนเป็นต้นตอ และรากเหง้าของกิจการธนาคารพาณิชย์ ที่มีบทบาทที่สำคัญ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ มาจนทุกวันนี้ นับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งการธนาคารไทยโดยแท้

พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์   

เลขที่ 9 ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900 
โทร. 0-2544-4526, 3858
โทรสาร 0-2544-4068
www.thaibankmuseum.or.th 
email : thaibankmuseum@scb.co.th 

เวลาเข้าชม
วันจันทร์ - วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร)
เวลา 10.00 - 17.00 น.



การขอเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย
     กรณีชมทั่วไป สามารถเข้ามาเดินชมได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
     กรณีเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ โปรดโทรศัพท์ติดต่อล่วงหน้า เพื่อตรวจสอบเวลาว่าง ไม่ให้ซ้อนกับคณะอื่นๆ และทำจดหมายส่งไปรษณีย์ หรือส่งโทรสารมาถึง ผู้จัดการกิจกรรมองค์กรเพื่อสังคม ตามที่อยู่ด้านบน เพื่อพิพิธภัณฑ์จะจัดวิทยากรต้อนรับ และนำชมเป็นหมู่คณะ

แผนที่

ขอขอบคุณข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย และ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น